ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน เราบริโภคน้ำมันทำอาหารกันเป็นประจำ บางคนใช้น้ำมันพืชไม่ว่ามาจากปาล์ม ถั่วเหลือง มะพร้าว มะกอก รำข้าว หรือ น้ำมันจากสัตว์เช่นน้ำมันหมู ทำอาหารกัน น้ำมันทุกประเภทที่กล่าวมา คือน้ำมันที่ให้กรดไขมันกลุ่ม โอเมก้า 6 ทั้งสิ้น
ข้อมูลการวิจัยใหม่ อธิบายไว้ว่า หากคุณได้รับสารอาหารที่เกินกว่าการใช้ จะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกาย ทำให้เกิดโรคได้ เราควรได้รับกรดไขมันในกลุ่ม โอเมก้า 3 ควบคูกันไปจึงจะเกิดการสมดุลของกรดไขมันที่ได้รับ
น้ำมันปลาให้อะไรกับเรา เราไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกันมานาน เรื่องการน้ำมันที่เราใช้ปรุงอาหารกันเป็นประจำทุกๆ วัน
กรดไขมันอีกประเภทเรียกว่า กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จะไปช่วยขนไขมันร้ายไปทิ้งและให้ตับของเรากำจัดออกจากร่างกาย ปัจจุบันเราได้กรดไขมันชนิดนี้จากการออกกำลังกายแล้วร่างกายจะสังเคราะห์กรดไขมันชนิดนี้ขึ้นมา ทานปลาที่ให้กรดไขมันนี้ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืด วึ่งปลาทะเลจะให้กรดไขมันชนิดนี้มากที่สุด
น้ำมันจากปลาแซลมอน ผลิตภัณฑ์นี้ให้กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 ได้แก่ อีพีเอและดีเอชเอ มีส่วนผสมของวิตามินอี ไม่เจือสี ไม่ใช้วัตถุแต่งกลิ่นรสและวัตถุกันเสีย
ทางเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยกว่าคือใช้กระบวนการผลิตที่ปลอดภัย
น้ำมันปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?
1 ลดการเกิดลิ่มเลือด ช่วยควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควบคุมระดับความดันโลหิต ควบคุมอาการอักเสบ ปวด บวมของข้อ ลดความเสื่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตันเฉียบพลัน ลดความหนืดของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และให้กรดไขมันชนิดดีเอชเอซึ่งสำคัญต่อการพัฒนาสมองและเรตินาของดวงตา
2 เด็กสามารถรับประทานน้ำมันปลาได้หรือไม่?
น้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกตามธรรมชาติ ถือว่าเป็นแหล่งที่ให้กรดไขมันจำเป็น หรือกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งที่มีคุณภาพสูง เด็กที่มีอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป สามารถรับประทานได้
3 สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถรับประทานน้ำมันปลาได้หรือไม่? เพราะอะไร?
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังและกำลังอยู่ในระหว่างการรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคความดัน โรคหัวใจ ก่อนรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน สำหรับเบาหวานที่คุมน้ำตาลได้แล้วสามารถรับประทานได้
4 ใครบ้างที่ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลา?
ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน แอสไพริน เป็นต้น ไม่ควรรับประทาน เพราะคุณสมบัติของน้ำมันปลาจะช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก ลดการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งหากรับประทานยาที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันตามที่แพทย์สั่งอยู่ก่อน อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า และเกิดอันตรายได้หากต้องทำการผ่าตัด
5 น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาแตกต่างกันอย่างไร?
น้ำมันตับปลาสกัดมาจาก "ตับ" ของปลาทะเล มีวิตามินบีและวิตามินเอสูง ส่วนน้ำมันปลาได้จากการสกัดไขมันใต้ผิวหนัง ของปลา เช่น ปลาแซลมอนจากแหล่งทะเลน้ำลึกในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิดอีพีเอ (EPA) และดีเอชเอ (DHA) ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดลิ่มเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ